วันอาทิตย์ที่ 22 ธันวาคม พ.ศ. 2556

อัตชีวประวัติ

อัตชีวประวัติ

             สิ่งที่น่าสนใจในชีวิตของดิฉันคือ ดิฉันมีความประทับใจเกี่ยวกับครอบครัวดิฉันมากๆ เพราะครอบครัวของดิฉันเป็นครอบครับแบบบ้านๆธรรมดาแต่ดิฉันก็รักพ่อ แม่ พี่น้อง แต่ก้อภูมิใจที่ได้เกิดมาในครอบครัวนี้ แม้มันจะมีเรื่องทะเลาะกันมากมายแต่มันก็เข้าใจกันเพราะมันก็เป็นเรื่องธรรมดาของครอบครัวทั่วไป ซึ่งดิฉันก็ดีใจที่ได้มีชีวิตอยู่ ถึงแม้จะเกือบตายหลายครั้งแล้ว เพราะซนเล่นกับประตูบ่อย จนนิ้วเกือบหัก แต่มันก็เป็นเรื่องธรรมดาในวัยเด็ก ที่ดิฉันต้องเผชิญกับความไม่รู้ ตามประสาเด็ก เป็นเรื่องธรรมดาของดิฉันเพราะดิฉันเกิดมาซนอยู่แล้ว ดิฉันก็จะขอเล่าเรื่องที่น่าสนใจของครอบครัวของดิฉัน 

เรื่องราวช่วงชีวิตที่น่าสนใจ

            เมื่อกล่าวถึงความประทับใจ สิ่งใดเลยจะเท่ากับคำว่า "ครอบครัว" ครอบครัวของฉันเป็นเหมือนศูนย์กลางแรงบันดาลใจ ความประทับใจ ความสุข รอยยิ้ม ตั้งแต่จำความได้ก็เห็นสมาชิกทุกคนในครอบครัวฉันกันครบองค์ประชุม อาจจะดูเสียงดังน่ารำคาญสำหรับคนอื่นๆ แต่สำหรับฉันมันคือความอบอุ่นที่มีให้ต่อกัน บ้านดิฉันเป็นครอบครัวหัวโบราณ เข้าออกบ้านต้องตรงเวลา มีกฎกติกาประจำบ้านซึ่งสมาชิกทุกคนพึงปฎิบัติกันเป็นนิจอย่างเคร่งครัด ดิฉันประทับใจในทุกเรื่อง ทุกๆความรู้สึกที่ทุกคนในครอบครัวมีให้กัน การแสดงออกทางความรักที่ดูจะกระด้างกระเดื่องแต่ก็กินใจทุกคนในครอบครัวเช่นกันฉันรู้สึกดีที่มีครอบครัวอบอุ่น มีพ่อและแม่ ที่เป็นทุกๆอย่าง ในทุกๆสถานการณ์ของชีวิต ผู้ที่เป็นเสาหลักของบ้านที่ชี้นำแนวคิดให้ลูกอย่างดิฉันดำเนินรอยตาม

ชีวิตในอนาคตของตัวเอง
            
            ตั้งแต่เด็ก ดิฉันฝันอยากจะเป็นโน่นเป็นนี่ อยากจะไปที่นั่นที่นี่โดยไม่เคยคิดเลยว่ามันจะเป็นไปได้หรือไม่ จนกระทั่งเติบใหญ่ดิฉันจึงได้เข้าใจ ทุกความฝันจะเป็นไปได้ต้องมีสิ่งที่เรียกว่า"ความจริง" เข้ามาเกี่ยวข้อง ดิฉันเล่าเรียนหมั่นศึกษาเพื่อหากุญแจที่จะปลดปล่อยความฝันสู่โลกแห่งความจริง ว่า"อยากเป็นครู" ตัดสินใจไม่ผิดจริงๆที่เรียนคณะนี้ เพราะเรียนในสายเรียนที่รัก ที่ชอบและมีความสุข ดิฉันจะตั้งใจเรียน จะเป็นลูกที่ดีของพ่อและแม่ ตอบแทนพระคุณของท่าน ที่ท่านได้มีความเมตตาเลี้ยงดูดิฉันมาเป็นอย่างดี และดิฉันอยากจะเป็นครูที่ดี มีประสิทธิภาพของสังคม จะอบรมสั่งสอน ถ่ายทอดความรู้ ต่อศิษย์ให้ดีที่สุด อย่างที่พ่อ แม่ ได้ตั้งความหวังไว้ เพื่อตอบแทนพระคุณของท่าน


ชื่อ อรทัย  แม่นยำ  รหัส 55113400193 ตอนเรียน D1

วันจันทร์ที่ 16 ธันวาคม พ.ศ. 2556

บันทึกการสะท้อนการเรียนรู้ครั้งที่ 4

สิ่งที่ได้รับจากการเรียนรู้

วันนี้เพื่อน 3 กลุ่ม ออกมานำเสนอการเขียน 3 แบบ คือ 1.เรื่องอัตชีวประวัติ 2.เรื่องการเขียนบทวิจารณ์

3.การเขียนเพื่อเล่าเรื่อง

กลุ่มที่ 1 เรื่องอัตชีวประวัติ

               อัตชีวประวัติ คือ ประวัติที่เจ้าของเขียนหรือเล่าด้วยตนเอง อัตชีวประวัติจัดเป็นสารคดี

ประเภทหนึ่ง ซึ่งแสดงทัศนะต่อชีวิตผ่านประสบการณ์ตรงของผู้แต่ง ผู้ซึ่งมักจะได้ครุ่นคิดหาความหมาย

ของชีวิตมาด้วยตนเองและยินดีเปิดเผยแก่สาธารณชน

               มีการยกตัวอย่าง งานเขียนอัตชีวประวัติของ กรุณา ฤศลาลัย : ชีวิตที่เลือกไม่ได้งานเขียน

อัตชีวประวัติของสมศรี สุกุมลนันทน์ : ชีวิตแห่งการเรียนรู้

ซึ่งงานเขียนมีแบบแผนทัศนะคติต่อชีวิตของบุคคลผู้ไม่ยอมแพ้ต่อโชคชะตา โดยแสดงให้เห็นว่าภายใต้

โชคชะตา โดยจำกัดและปัญหาที่ชีวิตดูคล้ายว่าเป็นสิ่งที่มนุษย์ "เลือกไม่ได้" ก็ยังมีส่วนที่สามารถเลือก

และกำหนดเองได้ มนุษย์จึงควรต่อสู้ให้ถึงที่สุด
       
กลุ่มที่ 2 การเขียนบทวิจารณ์

               การเขียนบทวิจารณ์ คือ การค้นหาข้อดีและข้อไม่ดีของเรื่องที่จะใช้วิจารณ์ชี้ให้เห็นข้อ

บกพร่องพร้อมนำเสนอแนวทางการแก้ไขให้ดีขึ้นเป็นการวิจารณ์เพื่อสร้างสรรค์

               ลักษณะของการวิจารณ์

                   1.การวิจารณ์เป็นการถ่ายทอดความคิดเห็นชี้้จุดเด่น จุดด้อยตลอดจนความรู้สึกเกี่ยวกับ

สิ่่งต่างๆอย่างสมเหตุสมผลมีความคิดเห็นอย่างตรงไปตรงมา

                   2.เป็นข้อเขียนที่ชัดเจนในการบอกให้ผู้อ่านทราบถึงรายละเอียดของสิ่งนั้น

                   3.เป็นข้อเขียนที่อ่านแล้วเข้าใจง่ายน่าอ่านทำให้ผู้อ่านติดตามอ่านจนจบใช้ถ้อยคำอย่าง

สร้างสรรค์ไม่ใช้ถ้อยคำในเชิงประจานหรือโจมตีอย่างรุนแรง

              โครงสร้างของบทวิจารณ์

                    1.ชื่อเรื่อง

                    2.ความนำหรือประเด็นที่จะวิจารณ์

                    3.เนื้อเรื่อง

                    4.บทสรุป

กลุ่มที่ 3 การเขียนเพื่อเล่าเรื่อง
             
               การเขียนเพื่อเล่าเรื่อง คือ การนำเรื่องราวกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นทั้งที่ผู้เขียนประสบกับตนเอง

หรือกับบุคคลอื่น มาถ่ายทอดให้ผู้อ่านทราบ เช่น การเขียนสารคดี ชีวประวัติหรืออัตชีวประวัติ การเขียน

สารคดีท่องเที่ยว การเขียนเรียงความ บันทึกความทรงจำการเขียนข่าว  เป็นต้น

               การเตรียมโครงเรื่อง

                   1. ที่มาของเรื่อง

                   2. สถานที่และเวลาที่เกิดเรื่องในเรื่อง

                   3. เรื่องหรือเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นตามลำดับ

                   4. ผลอันเนื่องมาจากเรื่องหรือเหตุการณ์

ความรู้ใหม่ที่ได้รับ

        ได้ทราบว่าอัตชีวประวัติ การเขียนบทวิจารณ์ การเขียนเพื่อเล่าเรื่อง คืออะไร วิธีการเขียนที่ดีของ

แต่ละประเภทเขียนแบบใดให้ถูกต้อง

ข้อเสนอแนะ

          เพื่อนๆแต่กลุ่มได้นำเสนออย่างน่าสนใจเป็นอย่างมาก มีทั้งเกมให้เล่นสนุกๆและหากิจกกรมให้

ทุกๆได้มีส่วนร่วมและเกิดการเรียนรู้ไปในตัว

วันพุธที่ 20 พฤศจิกายน พ.ศ. 2556

บันทึกการสะท้อนการเรียนรู้ ครั้งที่ 3

สิ่งที่ได้รับจากการเรียนรู้

     การเขียน หมายถึง การถ่ายทอดความรู้ ความคิด ความรู้สึกและความต้องการของผู้ส่งสาร


ออกไปเป็น ลายลักษณ์อักษร เพื่อสื่อความหมายให้ผู้รับสารอ่านทำความเข้าใจตอบสนองได้

ตรงตามวัตถุประสงค์ของผู้ส่งสาร

        ลักษณะของภาษาเขียน

              - ภาษาปาก หรือ ภาษาพูด


              - ภาษากึ่งแบบแผน หรือ ภาษากึ่งทางการ

              - ภาษาแบบแผน หรือ ภาษาทางการ , ภาษาทางราชการ

        ข้อแนะนำเรื่องการใช้คำ

               - ใช้คำให้ตรงความหมาย


               - คำที่มีหลายความหมาย

               - คำที่มีความหมายคล้ายกัน

               - ลักษณะนาม

               - คำเชื่อม

               - คำราชาศัพท์และหลีกเลี่ยงการใช้คำที่ไม่เป็นแบบแผน

ความรู้ใหม่ที่ได้รับ
     
         ได้รู้ถึงสำนวนต่างๆ เช่น กำแพงมีหู ประตูมีช่อง /  กำแพงมีหู ประตูมีตา , ตีต้นก่อนไข้ /

ตีต้นตายก่อนไข้ , ไกลปืนเที่ยง / หลังเขาและได้รู้ถึงที่มา  ชักแม่น้ำทั้งห้า จากเรื่อง

"มหาเวสสันดรชาดก" ตอน กัณฑ์กุมาร มีแม่น้ำดังนี้  1.แม่น้ำคงคา  2.แม่น้ำยมุนา 

3.แม่น้ำอจิรวดี  4.แม่น้ำสรภู  5.แม่น้ำมหิ

ข้อเสนอแนะ


          ชอบวิธีการสอนของอาจารย์ อาจารย์นั้นสอนสนุก ไม่เบื่อ อธิบายเข้าใจง่าย ได้หัวเราะทั้งคาบ

และทำให้นักศึกษากล้าแสดงความคิดเห็นในกิจกรรมทุกครั้งคะ

บันทึกการสะท้อนการเรียนรู้ ครั้งที่ 2

สิ่งที่ได้รับจากการเรียนรู้

เรื่องภาษาและการเขียน
               ภาษา  หมายถึง
คำพูดหรือถ้อยคำของกลุ่มใดกลุ่มหนึ่งเพื่อสื่อสารและรับรู้เพื่อให้เข้าใจตรงกัน
     ประเภทของภาษา
          1.วจนภาษา คือสื่อสารด้วยภาษาพูดและภาษาเขียน
          2.อัวจนภาษา คือ การสื่อที่ไม่ใช่วาจา เป็นอารมณ์ ความรู้สึก ท่าทาง (กิริยาที่สามารถมองเห็นได้)

          ถ้าในภาษาไทยก็จะมีประเภทของภาษาเพียงเท่านี้ แต่ถ้าในต่างประเทศจะมีเพิ่มอีกประเภทหนึ่งคือ
          การสื่อสารด้วยจักษุสัมผัสหรือการมองเห็น คือ สัญลักษณ์ต่างๆที่มองเห็นและรับรู้เข้าใจตรงกันของคนส่วนมาก
     

     ลักษณะทั่วไปของภาษา

          1.ภาษามี เสียงและความหมาย (ถ้ามีแต่เสียงจะไม่เรียกว่าภาษา)
          2.มีไวยากรณ์ เฉพาะของแต่ละภาษา
         
3.อาจมีสิ่งแวดล้อมกำหนด
               ตัวอย่าง ทำไมถึงเรียกปากกา เพราะปากกามีลักษณะคล้ายปากของกา นี้คือสิ่งแวดล้อมกำหนดภาษา
         
4.ภาษามีประโยคไม่รู้จบ
         
5.ภาษามีการเปลี่ยนแปลง
              
- ความเปลี่ยนไป
              
- ความหมายกว้างขึ้น
             
 - ความหมายแคบลง
        
 6.การกำหนดสัญลักษณ์ร่วมกัน

    

     ลักษณะเฉพาะภาษาไทย
         
1.มีภาษาของตนเอง
          
2.เป็นคำโดด
         
3.ภาษาไทยส่วนมากเป็นคำพยางค์เดียว มีความหมายสมบูรณ์
         
4.คำเดียวอาจมีหลายความหมาย มีหลายหน้าที่
         
5.เป็นลักษณนาม
         
6.มีเสียงวรรณยุกต์
         
7.มีระดับของคำกับบุคคล
         
8.ภาษากวี  การเล่นคำ

     ภาษาพูดและเขียน
         
1.ภาษาเขียนจะไม่ใช้ถ้อยคำของภาษาพูดมาเขียน
         
2.ภาษาเขียนไม่มีสำนวนเปรียบเทียบที่ยังไม่เป็นที่ยอมรับ พลิกล็อค โดดร่ม
         
3.ภาษาเขียนมีการเรียบเรียงถ้อยคำให้สละสลวยชัดเจน
         
4.ภาษาเขียนไม่สามารถแก้ไขเปลี่ยนแปลงได้ แต่ภาษาพูด ผู้พูดมีโอกาสชี้แจงแก้ไขได้



     ความแตกต่างระหว่างภาษาพูดและภาษาเขียน
         
1.ภาษาเขียนใช้คำมาตารฐานหรือคำแบบแผน
         
2.ภาษาพูดออกเสียงไม่ตรงกับภาษาเขียน (ส่วนมาก)

          3.ภาษาพูดสามารถแสดงอารมณ์ได้ดีกว่าภาษาเขียน

          4.ภาษานิยมใช้คำพูดหรือคำลงท้าย เพื่อให้ฟังดูแล้วสุภาพ เช่น ไปไหนคะ  
          5.ภาษาพูดนิยมใช้คำซ้ำและคำซ้อนบางชนิดเพียงให้ชัดเจนยิ่งขึ้น
 สรุป         -ภาษาพูด คือ ภาษาที่ผู้ใช้ภาษาใช้สื่อสารในชีวิตประจำวันด้วยการพูดนั่นเอง ควรคำนึงถึง 
           ความเหมาะสมของฐานะบุคคลและกาลเทศะ         -ภาษาเขียน คือภาษาที่เป็นลายลักษณ์อักษรบันทึกไว้เป็นหลักฐานประกอบด้วยสาระที่นำมา
           อ้างอิงไช้เป็นภาษามารตฐานได้
ความรู้ใหม่ 
          -ภาษาไทยมีอักษรเป็นของตัวเอง
          -วจนภาษาหมายถึงภาษาเขียนและภาษาพูด 
          -อวจนภาษาหมายถึง อารมณ์ สีหน้า ท่าทาง
ข้อเสนอแนะ
          ช่วยกันอนุรักษ์ภาษาไทยด้วยการเขียนและการพูดภาษาไทยให้ถูกต้องนะคะ





วันจันทร์ที่ 4 พฤศจิกายน พ.ศ. 2556

บันทึกการสะท้อนการเรียนรู้ ครั้งที่ 1

สิ่งที่ดิฉันได้จากการเรียนรู้

       เป็นสื่อที่ใช้ในการแสดงความคิดเห็น ความรู้สึกของผู้เขียนเกี่ยวกับเรื่องต่างๆ เพื่อเสนอให้ผู้คน สาธารณะได้รับรู้ในด้านเครื่องมือ ด้ารธุรกิจ และด้านอื่นๆ เป็นแหล่งความรู้ใหม่ๆ ที่ได้ค้นหาข้อมูลเฉพาะด้านใน Blog ต่างๆ จึงทำให้เราค้นพบความรู้ และความชำนาญในด้านต่างๆ ได้รวดเร็วขึ้น  
ทำให้ทันต่อเหตุการณ์ในโลกปัจจุบัน เพราะข่าวสารความรู้ มาจากผู้คนมากมายและมักจะเปลี่ยนแปลงได้ทันกับเหตุการณ์ปัจจุบันเสมอ
 

ความรู้ใหม่ที่ได้รับ


       ได้รู้วิธีการสร้าง blogger ด้วยตัวเอง เปิดโอกาสให้บล็อกเกอร์ได้รับฟัง แลกเปลี่ยนความคิดเห็นกันได้อย่างอิสระ 

ข้อเสนอแนะ

        ดิฉันได้รับความรู้มากจาก blogger และจะนำไปปรับในการเรียนการสอนได้อย่างดีในอนาคต
 
 
 นางสาวอรทัย แม่นยำ ตอนเรียน D1 รหัสนักศึกษา 55113400193