วันจันทร์ที่ 27 มกราคม พ.ศ. 2557

บันทึกการสะท้อนการเรียนรู้ ครั้งที่ 8


ความรู้ใหม่ที่ได้รับ

    การเขียนเชิงกิจธุระ

         การเขียนแบบฟอร์ม 4 แบบ

               การกรอกแบบฟอร์ม คำว่าแบบฟอร์มเป็นคำไทยกับคำภาษาอังกฤษ คำนี้มีความหมาย   คล้ายกัน แต่เมื่อใช้คำว่าแบบฟอร์มในปัจจุบันนี้เป็นที่เข้าใจกันว่า หมายถึง เอกสารที่จัดทำขึ้น โดยเว้นช่องว่างไว้สำหรับให้บุคคลแต่ละคนกรอกข้อความเพื่อให้สะดวกแก่รวบรวมนำข้อความนั้นมาใช้เป็นประโยชน์

         แบบฟอร์มแบ่งออกเป็น 4 ประเภท คือ

                  1.แบบฟอร์มที่ใช้ติดต่อกับหน่วยงาน ทั้งภาครัฐและเอกชน แบบฟอร์มชนิดนี้หน่วยงานเป็นผู้นำเตรียมขึ้น เพื่อให้ผู้มาติดต่อใช้ได้โดยสะดวกจะได้ไม่เสียเวลาในการเขียน ทำให้หน่วยงานได้รับข้อมูลครบถ้วนที่จำเป็นตามต้องการ นอกจากนี้ยังทำให้จัดเก็บไว้ได้เป็นระเบียบเรียบร้อย

                 2.แบบฟอร์มที่ผู้อื่นขอความร่วมมือให้กรอกแบบฟอร์มชนิดนี้ใช้เพื่อต้องการทราบข้อมูลทั้งที่เป็นข้อเท็จจริงและทรรศนะของประชาชนกลุ่มต่างๆ

                 3.แบบฟอร์มที่ใช้ภายในองค์การ องค์การสมัยนี้มีระบบการรวบรวมเรื่องราวทุกชนิดที่เกี่ยวข้องกับบุคลากรภายในหน่วยงานของตนด้วยวิธีให้กรอกแบบฟอร์มแทนที่จะต้องเขียนชี้แจงทั้งเรื่อง ซึ่งมักจะให้รายละเอียดไม่ตรงตามที่ต้องการ

                 4.แบบฟอร์มสัญญา สัญญาในที่นี้ หมายถึง เอกสารที่มีผลผูกพันทางกฎหมายระหว่างบุคคล ฝ่าย

                 การกรอกแบบฟอร์มสัญญาต้องกรอกด้วยความระมัดระวังและเข้าใจเงื่อนไขข้อผูกมัดต่างๆที่ระบุไว้ในสัญญาอย่างละเอียดควรที่จะต้องปรึกษาหารือกับผู้รู้หรือผู้มีความชำนาญในด้านกฎหมาย ให้ช่วยอธิบายให้เข้าใจก่อนจะกรอกข้อความใดๆลงไปและโดยเฉพาะอย่างยิ่ง

                 ในกรณีที่ผู้อื่นกรอกแทนเราก็ต้องอ่านให้ดูให้ถูกต้องแน่นอนก่อน หากผิดพลาดแล้ว อาจเกิดความยุ่งยากหรือเกิดผลเสียภายหลังได้

         จดหมายกิจธุระ

                 เป็นจดหมายระหว่างบุคคลต่อบุคคลที่ติดต่อสื่อสารกันด้วย กิจธุระ เช่น การติดต่อสอบถาม การบอกขาย ฯลฯ หากเป็นจดหมายกิจธุระที่ติดต่อสื่อสารระหว่างบริษัท ห้างร้านองค์การต่างๆ เรียกว่า จดหมายธุรกิจ ใช้ภาษาระดับกึ่งทางการ

         จดหมายเปิดผนึก

                 เป็นจดหมายประเภทกิจธุระเขียนเผยแพร่ต่อสาธารณะชน สื่อมวลชน ซึ่งส่วนมาก ได้แก่หนังสือพิมพ์หรือวิทยุกระจายเสียงเผยแพร่สื่ออินเตอร์เน็ต เพื่อลงหรือประกาศข้อความในจดหมาย     ให้ประชาชนทั่วไปทราบในความของจดหมายชนิดนี้มีลักษณะเปิดเผยและเป็นประโยชน์แก่ส่วนรวม ส่วนใหญ่เป็นเรื่องเสนอแนะ แสดงความรู้สึก แสดงความจริง บอกกล่าว ขอความร่วมมือ ท้วงติงหรือร้องเรียน

         จดหมายราชการ

                หรือหนังสือราชการเป็นจดหมายที่ติดต่อสื่อสารระหว่างส่วนราชการหนึ่งกับอีกส่วนราชการหนึ่งหรือติดต่อสื่อสารกันในระหว่างกระทรวง ทบวง กรม กอง เดียวกัน รวมทั้งติดต่อสื่อสารกับหน่วยงานเอกชนต่างๆด้วย จดหมายที่ติดต่อกับหน่วยงานนอกกระทรวง เรียกว่า หนังสือภายนอกส่วนจดหมายที่ติดต่อภายในหน่วยงาน เรียกว่า หนังสือภายใน จดหมายราชการถือเป็นเอกสารหลักฐานในการทำงานของรัฐจึงต้องมีเลขที่ออกหนังสือและมีทะเบียนรับส่งหนังสือ ภาษาที่ใช้ในการสื่อสารเป็น ภาษาระดับทางการ

       การเขียนประกาศทางราชการ

                ประกาศเป็นการสื่อสารใช้ที่เผยแพร่ได้กว้างขวาง คือ ให้บุคคลทุกระดับในหน่วยงานหรือบุคคลภายนอกได้อ่าน การออกประกาศมักมาจากผู้บังคับบัญชา

                ประกาศทางราชการ มักจะมีข้อความที่ค่อนข้างยาว ละเอียดและเกี่ยวเนื่องกับตัวบทด้วย    กฏหมาย โดยมีจุดประสงค์จะประกาศแจ้งให้บุคคลทั่วไปได้ทราบและหวังผลในการปฏิบัติภาษาค่อนข้างเป็นทางการ รัดกุมมีลักษณะคล้ายหนังสือราชการทั่วๆไป

    การเขียนจดหมายธุรกิจ

           ประเภทของจดหมาย

                1.จดหมายส่วนตัว จดหมายถึงเพื่อน ญาติพี่น้อง
                2.จดหมายกิจธุระ : จดหมายลาป่วย ลากิจ
                3.จดหมายธุรกิจ จดหมายติดต่อเพื่อประโยชน์ทางธุรกิจ
                4.หนังสือราชการ เอกสารที่ใช้ในการติดต่อกับราชการ

            ประเภทจดหมายธุรกิจ

                 - จดหมายสมัครงาน
                 - จดหมายเสนอขายสินค้าหรือบริการ
                 - จดหมายสอบถามและตอบแบบสอบถาม
                 - จดหมายสั่งซื้อสินค้าและตอบรับการสั่งซื้อ
                 - จดหมายต่อว่าและปรับความเข้าใจ
                 - จดหมายเตือนหนี้และทวงหนี้
                 - จดหมายไมตรีจิต ขอขอบคุณ แสดงความยินดี แสดงความเสียใจ

           รูปแบบของจดหมายธุรกิจ

                 - จดหมายธุรกิจแบบราชการ ใช้รูปแบบเหมือนหนังสือราชการภายนอก แต่ดัดแปลงรายละเอียดเล็กน้อยให้เหมาะสมแก่การปฏิบัติ
                 - จดหมายธุรกิจแบบไหน ใช้รูปแบบที่ดัดแปลงหรือผสมผสานจากหนังสือราชการภายนอกและจดหมายธุรกิจแบบสากล
                 - จดหมายธุรกิจแบบสากล ใช้รูปแบบของการเขียนจดหมายธุกิจของต่างประเทสที่นิยมใช้กันเป็นสากล ได้แก่
                    แบบบล็อก (Full Block Style)
                    แบบเซมิบล็อก (Semi Block Style)

            การเขียนหัวข้อต่างๆในจดหมายธุกิจ

                 - หัวจดหมาย ชื่อและที่อยู่ของบริษัท ห้างร้าน มักนิยมพิมพ์เป็นหัวกระดาษจดหมายสำเร็จรูป
                 - วันเดือนปี มักระบุเพียงเลขวันที่ ชื่อเดือน ปี พ.โดยไม่ต้องใส่คำว่า วันที่  เดือนและปี
                 - เรื่อง : เขียนสั้นๆกะทัดรัดได้ใจความ
                 - คำขึ้นต้น มักใช้คำว่า เรียน
                 - ข้อความ มักเขียน 2-3 ย่อหน้า ย่อหน้าแรกจะกล่าวถึงเหตุที่มีจดหมายไป ย่อหน้าถัดมาจะแจ้งความประสงค์หรือสิ่งที่ต้องการให้ปฏิบัติหรือรายละเอียด
                 - คำลงท้าย มักใช้คำว่า ขอแสดงความนับถือ
                 - ลายเซ็นหรือลายมือของผู้ลงนามในจดหมาย
                 - ชื่อเดิมของผู้ลงนามในจดหมายโดยระบุอยู่ในวงเล็บ
                 - ตำแหน่งของผู้ลงนามในจดหมาย
                 - อักษรย่อของผู้ลงนามหรือผู้พิมพ์ : นำพยัญชนะต้นของชื่อผู้ลงนามและผู้พิมพ์และพยัญชนะต้นของผู้สกุลมาย่อแล้วเขียนไว้ เช่น ศิวสุดา วิศรายุธยา ก็เขียนว่า ศว
                 - สิ่งที่ส่งมาด้วย ระบุเอกสารหรือสิ่งที่ส่งไปพร้อมจดหมาย


ความรู้ใหม่ที่ได้รับ


                  องค์การ ใหญ่กว่า องค์กร
                  - ขอแสดงความเคราพ คือ มีความสัมพันธ์ใกล้ชิดกัน เช่น เขียนหาพ่อ แม่
                  - ขอแสดงความนับถือ เช่น อาจารย์อาวุโส
                  - ถ้ายืมเงินกัน 50 บาท เราสามารถทำสัญญาได้และถ้าไม่คืนสามารถดำเนินคดีได้ตามกฎหมาย

ข้อเสนอแนะ


                 การเรียนการสอนในครั้งนี้อาจารย์ได้สอนเรื่องการเขียนจดหมายต่างๆได้อย่างเข้าใจ ง่ายขึ้นและมีหลักการจำที่ในการเรียนการสอนท่านอาจารย์ก็จะมีคำถามต่างๆมาถามในเรื่องที่เรียน เพื่อเป็นการวัดถึงความรู้ความเข้าใจของเรื่องนั้นๆ




นางสาวอรทัย  แม่นยำ  รหัส 55113400193  ตอนเรียน D1

วันจันทร์ที่ 20 มกราคม พ.ศ. 2557

บันทึกการสะท้อนการเรียนรู้ ครั้งที่ 7

สิ่งที่ได้รับจากการเรียนรู้

    การเขียนกวีนิพนธ์

           บทร้อยกรองที่สร้างสรรค์ความงามด้วยตัวอักษร เสียง จังหวะ หรือท่วงทำนอง ที่ถ้อยคำสื่อสารอันอาจเป็นสัญลักษณ์หรือการสร้างภาพพจน์ เพื่อให้ผู้อ่านจินตนาการได้อย่างสวยงามกว้างไกลและไร้ขอบเขตรวมทั้งเกิดความรู้สึกสะเทือนใจที่ลึกซึ้ง

    คำสัมผัสคล้องจอง

           พยางค์ที่คล้องจองด้วยเสียงของสระหรือเสียงของพยัญชนะ หากคล้องจองด้วยเสียงสระเรียกว่า“สัมผัสสระ” หากคล้องจองด้วยเสียงพยัญชนะ เรียกว่า “สัมผัสอักษร”

    สัมผัสนอก สัมผัสใน

            สัมผัสนอก คือ สัมผัสนอกวรรคและนอกบทหรือระหว่างวรรคและระหว่างบทเป็นสัมผผัสบังคับด้วยเสียงสระเมื่อไรที่พูดถึงสัมผัสนอกก็คือสัมผัสบังคับนั่นเอง

            สัมผัสใน คือ สัมผัสในวรรคเดียวกัน ซึ่งมีทั้งสัมผัสสระและสัมผัสอักษรเป็นสัมผัสที่มีเพื่อความไพเราะ สุนทรภู่บรมครูด้านการแต่งกลอน เป็นผู้ริเริ่มนำสัมผัสในมาเล่นในการแต่งกลอน
คำเสียงสูง (จัตวา)เหมาะเป็นคำท้ายสุดของวรรครับของกลอนสุภาพ

    คำเสียงสูง (จัตวา) เหมาะเป็นคำท้ายสุดวรรครับของกลอนสุภาพ

    คำไวพจน์

             คำไวพจน์ คือ คำที่มีความหมายอย่างเดียวกันหรือคำพ้องความหมายนั่นเอง

    คำเอก คำโท

              คำเอก (คำบังคับในโคลงสี่สุภาพ)
                  -คำที่มีรูปเอก
                  -คำตายที่แทนคำเอก

              คำโท (ในโคลงสี่สุภาพ คือ คำที่มีรูปวรรณยุกต์โท)

    กำเนิดและที่มาของร้อยกรอง

              บทร้อยกรองน่าจะมีกำเนิดมาก่อนหรืออาจเกิดขึ้นพร้อมๆกันกับพ่อขุนรามคำแหงมหาราชทรงประดิษฐ์อักษรไทยในปี พ.ศ.1826

    ร้อยกรองมี 5 ชนิด คือ

          1 โคลง
          2 ฉันท์
          3 กาพย์
          4 กลอน
          5 ร่าย

              ร้อยกรองเรียกอีกอย่างหนึ่งว่า คำประพันธ์

    คำคล้องจอง

           เป็นคำที่ใช้สระเดียวกัน หรือ มี ตัวสะกดมาตราเดียวกัน เช่น พราว-ดาว , เดือน-เลือน

     บทสรุป

            การใช้คำคล้องจองเป็นลักษณะหนึ่งของการเขียนบทร้อยกรองซึ่งทำให้เกิดความไพเราะและมีความหมาย คำคล้องจองที่พบโดยทั่วไปมีปริศนาคำทาย สำนวนโวหารและสำนวนไทย เป็นต้น

      การแต่งกาพย์ยานี 11

             เป็นบทร้อยกรองที่บังคับจำนวนคำ วรรค และสัมผัส เช่นเดียวกับการแต่งกลอนกาพย์ยานี 11 คือ คำประพันธ์หรือบทร้อบกรองที่มีบังคับเฉพาะจำนวนคำ คือ 11 คำ

      บทสรุป

             กาพย์ หมายถึง คำประพันธ์ชนิดหนึ่งที่มีการกำหนด “คณะ” พยางค์และสัมผัส เช่นเดียวกับฉันท์ แต่ไม่มีบังคับคำครุ-ลหุอย่างฉันท์

            กาพย์สามารถจำแนกออกเป็น 3 ประเภท คือ

                  1 กาพย์ยานี 11
                  2 กาพย์ฉบัง 16
                  3 กาพย์สุรางคนางค์ 28
                  4 กาพย์ห่อโคลง
                  5 กาพย์เห่เรือ
                  6 กาพย์ขับไม้

             กาพย์ยานี 11 นิยมแต่งในการพรรณนา ดำเนินเรื่องอย่างช้าๆ ลักษณะบังคับมีคณะสัมผัส

ความรู้ใหม่ที่รับ

        - วรรณคดี จะต้องมีระยะเวลาที่ยาวนาน ทุกคนต้องยอมรับว่าดี ถ้ามีตราประทับพระพิฆเนศจากวสโมสรศิลปากร (รัชกาลที่6) ก็จะถือว่าเป็นวรรณคดี

        - วรรณกรรม งานเขียนทุกอย่าง (ยกเว้นหนังสือไม่ใช่วรรณกรรม)

ข้อเสนอแนะ

           อาจารย์ยกตัวอย่างดีมากคะทำให้ดิฉันเข้าใจได้ง่าย

วันจันทร์ที่ 6 มกราคม พ.ศ. 2557

ขอให้ประเทศไทยสงบสุข


ขอให้ประเทศไทยสงบสุข

           ปัจจุบันประเทศไทยได้มีเหตุการณ์ต่างๆเกิดขึ้นมากมายที่ก่อให้เกิดความไม่สงบสุข ทุกครั้งที่ทราบข่าวการสูญเสีย คุณครู อาจารย์ บุคลากร หรือแม้กระทั่งเจ้าหน้าที่ของรัฐและประชาชน จากการก่อการร้ายไม่ว่าจะด้วยวิธีใดก็ตามทำให้ดิฉันมีความรู้สึกเสียใจกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นทุกครั้งเพราะการสูญเสียทุกครั้งเท่ากับการสูญเสียทรัพยากรบุคคลที่ทรงคุณค่าไปอีกครั้งหนึ่ง
    
            เหตุการณ์ที่ยิ่งทำให้ดิฉันรู้สึกตกใจและเสียใจเป็นอย่างมากอย่างเช่น การเมือง , 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ , อาชญากรรม , ฆ่าข่มขืน , นักเรียนตีกัน เป็นต้น เหตุการณ์เหล่านี้ทำให้ประเทศชาติไม่สงบสุข ต่างมีความหวาดกลัวกับเหตุการณ์ต่างๆที่เกิดขึ้นทำให้ประเทศชาติมีความเสื่อมถอยลงไป ดิฉันเป็นคนหนึ่งคนในสังคมที่อยากให้ทุกฝ่ายหันหน้าเข้าหากัน สามัคคีและร่วมมือ ร่วมใจกันในการแก้ปัญหาที่เกิดขึ้นในสังคมปัจจุบัน แต่ถ้าเราให้อภัยกันไม่ถือโทษโกรธเคืองกันเป็นสิ่งที่ดีงาม ซึ่งเป็นที่น่ายกย่องสรรเสริญ ดิฉันคิดว่าเมื่อสังคมไทยเราแตกแยก เราจำเป็นจะต้องปลูกจิตสำนึกให้คนรักแผ่นดินเกิด กตัญญูต่อแผ่นดิน กตัญญูต่อชาติ การปลูกจิตสำนึกการเป็นคนไทย ก็มีหลายวิธี ทั้งการพูด       การกระทำและการร่วมใจกัน เพลงที่ปลูกจิตสำนึกความเป็นคนไทยนั้นก็มีอยู่มากมาย โดยเฉพาะเพลงชาติ ที่สื่อความหมายความเป็นชาติไทยได้เป็น อย่างดี ทั้งเพลงลูกเสือ-เนตรนารี หรือเพลงอื่นๆ ที่สื่อความหมาย  ให้คนรู้สึกรักแผ่นดิน ก็มีมากมาย แต่พวกเราชาวไทยทุกคนก็จะต้องร่วมปฏิบัติต่อกัน ร่วมฟื้นฟูแผ่นดินไทยของเราให้เป็นแผ่นดินใหม่ที่น่าอยู่ ร่วมประสานไมตรีจิตต่อกันเพราะว่าเราคนไทยทุกคนมีศูนย์รวมจิตใจของคนในชาติเหมือนกัน ก็คือ สถาบันชาติ สถาบันศาสนา สถาบันพระมหากษัตริย์


           นอกจากนี้ก็ยังมีสถาบันครอบครัว การศึกษา ชุมชน องค์กรท้องถิ่น องค์กรสาธารณะกุศลทั้งหลาย เป็นต้น ดิฉันคิดว่าถ้าเราร่วมใจกันสร้างสรรค์ ความสามัคคีแล้ว ก็มิใช่เรื่องยากเลยน่าจะทำควบคู่ไปกับการแก้ไขปัญหาทางเศรษฐกิจของเราด้วย แก้ไขปัญหาคนว่างงาน โดยการอบรมหลักวิชาชีพให้เขาด้วยและก็ควรที่จะอบรมคุณธรรมจริยธรรม ความรักสามัคคีต่อกันควบคู่ไปด้วย      ก็ต้องแจกจิตสำนึกที่ดีให้กับสังคมด้วย เราต้องให้ความช่วยเหลือซึ่งกันและกัน เมืองไทยเรานั้นที่ได้ชื่อว่าเมืองแห่งการยิ้ม เมืองที่รักความสงบสุข ทำอย่างไรเราจะปลูกจิตสำนึกความเป็นคนไทยให้คนไทยหันมายิ้มต่อกันได้และรักที่จะอยู่ร่วมกันอย่าง สงบสุขได้ คนไทยทุกคนก็ควรที่จะช่วยกันทำ

          ภาพที่หวังอยากจะได้เห็น อยากให้เป็นในพื้นที่บ้านเราก็คือ ความสงบสุข ในพื้นที่และความรัก ความสามัคคีของคนในประเทศอีกครั้ง อยากให้คนไทยทุกคนรักกัน ช่วยเหลือซึ่งกันและกันที่กล่าวมาทั้งหมดจะเห็นได้ว่าหากเราทุกคนช่วยกันทำ ไม่เกี่ยงกัน ไม่แบ่งพรรคแบ่งสีแบ่งฝักแบ่งฝ่าย ควรจะตระหนักว่าเราอยู่ใต้ผืนธงชาติผืนเดียวกันมีพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวเป็นที่พึ่งทางใจเหมือนกัน หากคนไทยไม่รักกันแล้วใครจะมารักเรา หากคนไทยไม่หวงแหนความเป็นชาติไทยของเราใครจะมาหวงแหนให้เรา


นางสาว อรทัย แม่นยำ 55113400193 ตอนเรียน D1

บันทึกการสะท้อนการเรียนรู้ครั้งที่ 6


สิ่งที่ได้รับจากการเรียนรู้


     โวหาร VS ภาพพจน์

            คำว่า “ ทำหยั่งงี้ได้ไงภาพพจน์ชั้นเสียหายหมดเลย  เป็นการใช้คำไม่ถูกต้อง
            คำว่า “ ทำหยั่งงี้ได้ไงภาพลักษณ์ชั้นเสียหายหมดเลย  เป็นการใช้คำได้ถูกต้อง

     เรื่องความงามทางภาษา

            ความงามของภาษา หมายถึง ความสละสลวยไพเราะของภาษาอันเนื่องมาจากการใช้ ศิลปะ               การประพันธ์และโวหารภาพพจน์เหมาะสม

            โวหาร   หมายถึง  กลวิธีในการใช้ภาษาด้วยการเลือกถ้อยคำมาเรียบเรียงในการเขียนเรื่อง                  ราวต่างๆหรือพูดให้มีความสละสลวย เหมาะสม ชัดเจน เพื่อให้บรรลุตามจุดประสงค์

     ประเภทโวหาร  

            1. บรรยายโวหาร บอกเล่าเรื่องราวอย่างแจ่มแจ้ง อย่างรวดเร็ว ไม่มุ่งเน้นเห็นภาพ
            2. พรรณาโวหาร บรรยายเรื่องราวละเอียด ประณีต โดยแทรกอารมณ์ และภาพพจน์ให้คล้อย                   ตาม มุ่งเน้นเห็นภาพมากกว่าเห็นเรื่องราว
            3. เทศนาโวหาร กระบวนการเขียนแบบแนะนำสั่งสอน โน้มน้าวให้ผู้อ่านเห็นและปฏิบัติตาม
            4. อุปมาโวหาร เป็นการเปรียบเทียบ ให้เกิดความคมคลายชัดเจน
            5. สาธกโวหาร ยกตัวอย่างประกอบเพื่อให้ชัดเจนยิ่งขึ้น

     ความหมายของภาพพจน์

               ภาพพจน์ หมายถึง " ถ้อยคำที่เรียบเรียงเป็นสำนวนที่ไม่กล่าวตรงไปตรงมา แต่ทำให้เกิดภาพและถ่ายทอดอารมณ์อย่างกว้างขว้าง "

    ประเภทภาพพจน์  

            1.อุปมา คือการเปรียบเหมือน                                                                                                               ตัวอย่าง ดัง ดั่ง ดุจ ประดุจ  ประหนึ่ง ราวกับ เปรียบ ปาน ประหนึ่ง

            2.อุปลักษณ์ คือ การเปรียบเป็น                                                                                                             ตัวอย่าง เธอ คือ นางแมวป่า 

            3. อภิพจน์ คือการกล่าวเกินจริง 
                ตัวอย่าง คิดถึงใจจะขาด , การบินรักคุณเท่าฟ้า

            4. อวพจน์ คือ กล่าวน้อยกว่าความเป็นจริง
                ตัวอย่าง
 เล็กเท่าขี้ตาแมว ,รออีกอึดใจเดียว

            5. สัญลักษณ์ คือ การเรียกสิ่งหนึ่งแทนสิ่งหนึ่ง
                ตัวอย่าง ธรรม = ความสว่าง , ฝน = ความชุ่มชื้น , เมฆหมอก = อุปสรรค

            6. นามนัย คือ การใช้คำหรือวลีบ่งลักษณะหรือคุณสมบัติของสิ่งใดสิ่งหนึ่งแทนอีกสิ่งหนึ่งคล้ายๆกับสัญลักษณ์แต่ต่างกัน
                ตัวอย่าง สมอ = กองทัพเรือ , เก้าอี้ = ตำแหน่งผู้บริหาร , ฉัตร = ราชบัลลังก์ ความเป็นกษัตริย์

            7. สัทพจน์ คือ ภาพพจน์เลียนเสียงธรรมชาติทั้งหมด
                ตัวอย่าง ลูกหมาร้องบ็อกๆ

            8. บุคลาธิษฐานหรือบุคคลวัต คือ การกล่าวถึงสิ่งต่างๆ ที่ไม่มีชีวิต ไม่มีความคิด ไม่มีวิญญาณ 
                ตัวอย่าง ต้นไม้คุยกัน 

            9. ปฏิพจน์หรือปฏิภาคพจน์ คือ การใช้คำที่มีความหมายคำขัดแย้งกันนำมาเข้าคู่กันได้อย่างกลมกลืน           
                ตัวอย่าง เสียน้อยเสียยาก  เสียมากเสียง่าย

ความรู้ใหม่ที่ได้รับ

      ภาพพจน์ กับ ภาพลักษณ์ มีความหมายที่แตกต่างกัน
               - ภาพพจน์ คือ คำที่ก่อให้เกอดภาพ
               - ภาพลักษณ์ คือ มองให้เห็นเป็นภาพ

 ข้อเสนอแนะ

        หลังจากเรียนเสร็จ อาจารย์ได้แบบทดสอบได้ทบทวนเนื้อหาให้เข้าใจมากขึ้น